บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

สสารมืด



หนังสือพิมพ์ผู้จัดการออนไลน์ หน้าแรกวิทยาศาสตร์-อวกาศ พาดหัวข่าวว่า “สถานีอวกาศอาจจับได้สัญญาณ “สสารมืด” เป็นครั้งแรก” เมื่อ 4 เมษายน 2556 10:45 น.

เนื้อหาของข่าวบางส่วน มีดังนี้

อุปกรณ์ตรวจวัดความละเอียดสูงมูลค่ากว่า 6 หมื่นล้านบาท ที่ติดตั้งบนสถานีอวกาศ ตรวจวัดสัญญาณที่คาดว่าน่าจะเป็น “สสารมืด

และหากผลการวิเคราะห์ถูกต้อง ก็จะเป็นครั้งแรกที่เราตรวจจับสัญญาณของสสารลึกลับที่มีอยู่กว่า 80% ในเอกภพ (โดยที่เราไม่รู้จัก)

หากผลการวิเคราะห์ถูกต้อง สเปซด็อทคอมระบุว่า นี่จะเป็นครั้งแรกที่เราสามารถบันทึกสัญญาณของสสารมืดได้

โดยผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า แม้การค้นพบครั้งนี้จะยังไม่แน่ชัด และสัญญาณที่ได้ก็อาจจะมาจากแหล่งทั่วไปในโลก แต่กระนั้นข้อมูลที่ได้ ก็นับเป็นการค้นพบครั้งใหญ่

ด้าน ริชาร์ด เกตสเกลล์ (Richard) นักฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยบราวน์ (Brown University) สหรัฐฯ กล่าวว่า การค้นพบครั้งนี้เป็นก้าวที่สำคัญมากๆ อย่างน้อยก็ในแง่การตรวจวัดที่มีความไวอย่างยิ่ง
โดยเขาเองยังเป็นนักวิจัยบุกเบิกของห้องปฏิบัติการใต้ดินลาร์จอันเดอร์กราวน์ดซีนอน (Large Underground Xenon) ในเซาท์ดาโกตา สหรัฐฯ ที่มีเป้าหมายในการตรวจวัดอนุภาคของสสารมืดในใต้ดินโดยตรง

สสารมืด คือ สสารที่มองไม่เห็น ซึ่งเชื่อว่าเป็นองค์ประกอบของสสารในเอกภพถึง 80%

แต่สสารที่มีอยู่มากมายนี้ ก็ตรวจวัดได้ยาก เพราะมีการทำอันตรกริยากับสสารปกติค่อนข้างต่ำ ยกเว้นกรณีเกิดจากจากแรงดึงดูดของสสารเอง

“ผมมั่นใจว่านี่คือการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกจากการค้นพบทางวิทยาศาสตร์อื่นๆ อีกหลายครั้งโดยสถานีอวกาศ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงความเข้าใจของเราต่อเอกภพ” ชาร์ลส โบลเดน (Charles Bolden) ผู้อำนวยการองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) แถลง

บางท่าน อ่านแล้วก็คงจะงงๆ อยู่ขออธิบายคร่าวๆ ดังนี้

ตอนผมเป็นวัยรุ่น ก็หลายสิบปีมาแล้ว ถ้าเมื่อไหร่มีของหาย ก็จะมีเพื่อนบางคนพูดว่า “สสารย่อมไม่สูญหายไปจากโลก แต่มันย้ายที่อยู่”  ความหมายของเพื่อนก็คือ คุณขโมย เอามันไปแล้ว

พูดให้เข้าใจง่ายๆ อีกหน่อยก็คือ ตัวเรา เพื่อน ญาติ พี่น้อง ของใช้ต่างๆ รวมทั้งโลก ทั้งจักรวาลนี้ ประกอบขึ้นด้วยสสารทั้งนั้น

แต่สสารนั้น มีทั้งที่มองเห็น และมองไม่เห็น  สสารที่มองไม่เห็นก็คือ สสารมืด (dark matter)

ไอ้สสารมืดนี่ ขนาดนักวิทยาศาสตร์มองไม่เห็น ก็ไม่ต้องพูดถึงพวกเราๆ เราก็ไม่เห็นมันแน่ๆ

ปัญหาก็คือ นักวิทยาศาสตร์มองไม่เห็นมัน ใช้เครื่องวัดที่ผ่านมาก็วัดไม่ได้  แล้วนักวิทยาศาสตร์เขารู้อย่างไรว่า สสารมืด (dark matter) มีอยู่

นักวิทยาศาสตร์เขาสันนิษฐานจากการที่ กาแล็กซีทั้งหลายมันรวมกันอยู่ได้ ไม่กระจัดกระจายหายไป 

ถ้าอวกาศเป็นสิ่งว่างเปล่าจริงๆ กาแล็กซีทั้งหลายคงสลายตัวไปหมดแล้ว

ดังนั้น พอนักวิทยาศาสตร์มีหนทางที่จะวัดสสารมืดกันได้จริงๆ นักวิทยาศาสตร์ถึงตื่นเต้นดีใจกันไปทั้งโลก

ที่น่าตื่นเต้นอีกไปกว่านั้นก็คือ ปริมาณของมัน  ซึ่งมีมากมายมหาศาล  ขอให้ดูรูปด้านบน (นำมาจากเว็บของฟิสิกส์ราชมงคล มหาวิทยาลัยเดียวกันกับที่ผมอยู่)

โดยสรุปแล้วนักวิทยาศาสตร์เห็นว่า “สสาร” ที่เราเห็นได้จับต้องได้มีเพียงร้อยละ 4 เท่านั้น อีก 96 % เป็นสสารมืด กับพลังงานมืด

แล้วเรื่องนี้มาเกี่ยวกับศาสนาพุทธอย่างไร!!!!!

เรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องขยาย เพราะเรื่องสสารมืดนี้ จะฆ่าชื่อเสียงของพวกพุทธวิชาการไปเป็นร้อยๆ คนเลยทีเดียว

พระที่เชื่อว่านิพพานเป็นอนัตตา  พระที่เชื่อว่านรก-สวรรค์ไม่มี พระที่เชื่อว่าตายแล้วเกิดชาติเดียว พระที่เชื่ออิทธิปาฏิหาริย์ไม่มีจริง ฯลฯ  พระพวกนี้เชื่อวิทยาศาสตร์เก่าแบบนิวตัน

หลักการของนิวตันก็คือ สิ่งที่จะมีอยู่จริงต้องสัมผัสด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ หู ตา จมูก ลิ้น และ กาย 

ถ้าประสาทสัมผัสทั้ง 5 รับไม่ได้แล้ว  สิ่งนั้นไม่มีอยู่ หรือไม่จริง  พอวิทยาศาสตร์แบบนิวตันเข้ามาในเมืองไทย พวกพุทธสมองขี้ข้าฝรั่งก็ไปเชื่อกันหมด

ศาสนาพุทธก็ถูกตีความใหม่ ของถูกต้องที่ว่า นิพพานมี สวรรค์มี นรกสวรรค์มี ฯลฯ ก็กลายเป็น “สิ่งล้าสมัย” งมงาย 

ที่นี้ ถ้าเรื่องสสารมืดเป็นความจริง ซึ่งมันเป็นความจริงแล้วนั่นแหละ  พระพวกเชื่อวิทยาศาสตร์ก็น่าจะแตกแบบหมดไม่รับเย็บเลยทีเดียว 

ที่หนักหนาสาหัสกว่านั้นก็คือ ตายไปแล้ว อบายภูมิแน่ๆ

ก็ขนาดสสารยังมองไม่เห็นกันตั้ง 96 เรื่องใจ/จิต/วิญญาณละเอียดกว่านั้น เรื่องสวรรค์-นิพพานละเอียดกว่านั้น

มันจะเห็นด้วยตาเปล่า+เครื่องมือวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร

และเป็นการสำคัญก็คือ วิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบัน หรือนักฟิสิกส์ใหม่ยังยอมรับว่า “สิ่งที่มองไม่เห็น” นั้น มีอยู่จริง

ดังนั้น เรื่องนิพพาน สวรรค์ นรก อิทธิปาฏิหาริย์ ฯลฯ ของศาสนาพุทธก็ควรจะยอมรับกันได้

โดยสรุป

เรื่องสสารมืดที่มีอยู่ในจักรวาลของเรา ประมาณร้อยละ 96 นั้น ยืนยันอย่างชัดเจนว่า “สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น มีจริง” และเป็นสสารด้วย

ดังนั้น  การที่จะปฏิเสธว่า นรก-สวรรค์ หรือสิ่งที่มองไม่เห็นของศาสนาพุทธ “ไม่มีจริง” มันก็เป็นเรื่องของคนโง่ คนไม่ทันสมัยของยุคนี้

เรื่องสสารมืดนี้ พุทธวิชาการ พระนักปริยัติ รวมถึงนักวิชาการที่ศึกษาศาสนาพุทธจำนวนมาก ที่ปฏิเสธว่า นรก-สวรรค์ไม่มี  จึงไม่ยอมจะกล่าวถึงกัน เพราะ จะเป็นการพิสูจน์ว่า พวกเขาพลาดไปแล้ว

เขียนหนังสือผิดๆ ออกไปมากแล้ว  ไม่รู้จะแก้ไขได้อย่างไร รอวันตายและไปนรกเท่านั้น





7 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ6 เมษายน 2556 เวลา 00:37

    เรียนอาจารย์
    1.นิพาน เป็นสภาวะที่มีอยู่ เป็นสภาวะก่อนการเกิดเอกภพ (Bigbang)รึเปล่าครับ ซึ่งน่าเป็นสัดส่วนส่วนใหญ่ของพลังงานที่มองไม่เห็นรึเปล่าครับ
    2.ส่วน ภพภูมิต่างๆ แยกชั้นกันอยู่ตามความ ละเอียด-หยาบ ของธาตุ อุปมา คล้ายการแยกชั้นกันอยู่ของคลื่นความถี่วิทยุ หรือ spectrum ของพลังงานรึเปล่าครับ
    3.ใจเป็นธาตุรู้ มีคุณสมบัติเป็นพลังงาน จึงไม่สูญหายแต่เปลี่ยนรูปได้
    ตามกฎพลังงาน โดยมันเปลี่ยนรูปตามความละเอียด หยาบ ที่มันสะสมมา หรือ มีอยู่ใช่ไหมครับ
    4.ถ้าใจหยุดนิ่งมากๆเขา สมบัติของใจจะเป็นคล้ายๆกับ สสาร superconductor รึเปล่าครับที่แรงสนามแม่เหล็กเริ่มส่งผลน้อยลง
    แล้วมันลอยตัวได้ ส่วนใจ แรงของกรรมก็จะส่งผลน้อยลง อุปมาแบบนี้ได้ไหมครับ หรือ ถ้ามีคุณสมบัติของใจเข็มข้นมากเลยทำให้เกิดปาฎิหารเหาะเหิรเดินอากาศได้อย่างในพุทธกาล ประมาณแบบนี้รึเปล่าครับ

    ธนกร สุนันทชัยกุล

    ขอบคุณครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ตามความเข้าใจของผมนะครับ พอใจหยุดใจนิ่งใจใส ก็โชคดีไปหมดแหละครับ คือ ธาตุธรรมเข้าข้างคุณแล้ว คุณคิดดูว่าพลังมันจะมากมายขนาดไหน

      สิ่งต่างๆมี้เห็นจำคิดรู้หมด ประมาณว่าคุณทำให้เขาสามารถสุขได้ เค้าก็รักคุณช่วยคุณแหละครับ แล้ววิชาธรรมกายเป็นทางรอดเดียวของมนุษย์ ถ้าคุณทำได้ ธาตุธรรรมหรือเห็นจำคิดรู้ทั้งหลายจะรักคุณขนาดไหน

      ลบ
    2. เรียนคุณธนกร


      โดยหลักการแล้ว องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับศาสนาอยู่คนละสุดขั้ว ในทางวิชาการ นักวิชาการมักจะไม่กล้าประกาศไปว่า ของวิทยาศาสตร์คืออันนี้ ก็คือของศาสนาพุทธสิ่งนี้ เพราะ เราไม่มีความรู้ที่จะโยงกันได้เลย


      ถ้าเราระหว่างชีววิทยากับฟิสิกส์ เราจะสามารถเปรียบเทียบกันได้ เพราะ ฟิสิกส์เรียนลึกกว่าและสามารถอธิบายโยงเข้าหากันได้


      แต่เมื่อถามมา มันก็ต้องตอบ


      1. นิพพาน เป็นสภาวะที่มีอยู่ เป็นสภาวะก่อนการเกิดเอกภพ (Bigbang) รึเปล่าครับ ซึ่งน่าเป็นสัดส่วนส่วนใหญ่ของพลังงานที่มองไม่เห็นรึเปล่าครับ

      ถ้าคุณจะตีความอย่างที่คุณถามก็ได้

      ในทางศาสนานั้น จักรวาลมีอยู่มาอย่างนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว อายตนะนิพพานก็มีคู่กันมา มีแต่ภพสามเท่ากับที่เปลี่ยนแปลงได้ คือ แตกสลายและเกิดใหม่ได้

      ดังนั้น ถ้าคุณจะตีความว่า นิพพานมีอยู่มาก่อนบิกแบงมันก็ถูก

      แต่นิพพานไม่ใช่สัดส่วนของพลังงานแบบวิทยาศาสตร์ แต่ถ้าอยากจะตีความอย่างนั้น เพื่อให้เข้าใจง่าย มันก็ทำได้


      2.ส่วน ภพภูมิต่างๆ แยกชั้นกันอยู่ตามความ ละเอียด-หยาบ ของธาตุ อุปมา คล้ายการแยกชั้นกันอยู่ของคลื่นความถี่วิทยุ หรือ spectrum ของพลังงานรึเปล่าครับ

      เปรียบเทียบอย่างนั้นได้ เพราะทำให้เข้าใจได้ง่ายในระดับหนึ่ง



      3.ใจเป็นธาตุรู้ มีคุณสมบัติเป็นพลังงาน จึงไม่สูญหายแต่เปลี่ยนรูปได้

      อันนี้ไม่ใช่ ใจเป็นกายภาพเหมือนกัน แต่ละเอียด

      ผมไม่เข้าใจความหมายของการเปลี่ยนรูปของใจที่คุณถามมา ขอให้ถามมาใหม่



      4.ถ้าใจหยุดนิ่งมากๆ เขา สมบัติของใจจะเป็นคล้ายๆ กับ สสาร superconductor รึเปล่าครับที่แรงสนามแม่เหล็กเริ่มส่งผลน้อยลง
      แล้วมันลอยตัวได้ ส่วนใจ แรงของกรรมก็จะส่งผลน้อยลง อุปมาแบบนี้ได้ไหมครับ หรือ ถ้ามีคุณสมบัติของใจเข็มข้นมากเลยทำให้เกิดปาฎิหารเหาะเหิรเดินอากาศได้อย่างในพุทธกาล ประมาณแบบนี้รึเปล่าครับ

      อันนี้ไม่ใช่ เปรียบกันไม่ได้

      การที่เราสามารถแสดงฤทธิ์ได้เป็นเพราะ "บารมี" ที่กระทำมา และความตั้งใจอธิษฐาน เปรียบเทียบกับ superconductor ไม่ได้

      ลบ
  2. มี research ว่าสิ่งต่างๆสามารถคิดได้ มีอีก 3 ตัวอย่างครับ :
    1. การทดลอง พูดดีๆกับน้ำในแก้ว กับด่าว่าน้ำในแก้ว กรณีแรก น้ำในแก้วเรียงตัวเป็นโมเลกุลสวย กรณีที่สอง น้ำโมเลกุลกระเจิดกระเจิง ดูแล้วน่าเกลียดน่ากลัว
    2. พูดเพราะๆกับต้นไม้ เปิดเพลงให้ต้นไม้ฟัง กับ ด่าว่าต้นไม้ กรณีแรกต้นไม้โตและให้ดอกผลดีกว่า
    3. double-slit experiment และ delayed-choice experiment ทำนองว่า ทิศทางในอดีต ขึ้นกับ ความคิดและรู้ของผู้ทดสอบในปัจจุบัน ดังคำกล่าวสรุปของ Stephen Hawking ในหนังสือ The grand design หน้า 83 ที่ว่า "We will see that, like a particle, the universe doesn't have just a single history, but every possible history, each with its own probability; and our observations of its current state affect its past and determine the different histories of the universe, just as the observations of the particles in the double-slit experiment affect the particle's past." มันคล้ายๆกับว่า เราคิดรู้ว่ายังไง สิ่งต่างๆมันก็ปฏิบัติต่อเราอย่างนั้น

    อย่างนั้นก็ต้องรีบทำจิตใจของเราให้สะอาด โดยวิชาธรรมกาย เห็นดวงธรรม เห็นกายธรรม เอาไว้ ก็ช่วยได้ เหมือนปิดลิ้นชัก ไม่ส่งใจไปรับรู้และ react ใจมีที่วาง ที่มีความสุข

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. คุณทรงพล


      เรื่องในทางศาสนาพุทธอธิบายโดยใช้ "ใจ" เป็นหลักแบบเดียว มันอธิบายไม่ได้ครบ มันเกี่ยวข้องกับ "วิชชา" เกี่ยวข้องกับ "บารมี" และอะไรอีกมากมาย


      ใจเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งเท่านั้น

      ลบ
    2. อนุโมทนาครับ อยากรู้เยอะๆเหมือนกันครับ

      ลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ8 มีนาคม 2557 เวลา 23:48

    เราคิดว่า มนุษย์เป็นผลลัพธ์ของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ในจักรวาล ที่ต้องการให้รู้จักตัวมันเอง
    ถ้าหากไม่มีมนุษย์คอยเฝ้ามอง ไม่มีมนุษย์คอยสงสัย ไม่มีมนุษย์คอยถกเถียง มันก็คงจะเป็นได้เเค่สิ่งธรรมดาๆ ในธรรมชาติเท่านั้น

    ตอบลบ