บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

แช่แข็งศพกับฮวงซุ้ย




ผมรับรู้เรื่องของการ “แช่แข็งศพ” มานานแล้ว จากการอ่านหนังสือทางวิทยาศาสตร์ แต่ก็ไม่เคยคิดว่า จะมีคนไทยจะทำอย่างนั้น เพราะ มันขัดกับหลักของศาสนาพุทธ

แต่ก็มีเหตุการณ์ที่เกิดกับคนไทยจนได้  อ่านรายละเอียดทั้งหมดได้ในบทความ “'แช่แข็งศพ' โรคร้ายต้องรักษาได้ 'ไครออนิกส์' เทคโนโลยีชุบชีวิตแห่งอนาคต!?” ของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการออนไลน์ 20 เมษายน 2558 21:37 น.

ผู้ที่ถูกเอาศพไปแช่แข็งนี้ เป็นเด็กหญิงชาวไทยอายุ 2 ขวบ พ่อแม่เป็นแพทย์ทั้งคู่ พ่อของเด็กหญิงคนนี้ให้สัมภาษณ์ดังนี้

ตนต้องการเอาชนะความตายด้านชีววิทยา ซึ่งในสังคมไทยอาจจะยังไม่เข้าใจหรือมีความเชื่ออีกแบบซึ่งก็ยอมรับ เพราะนับถือศาสนาพุทธคนหนึ่ง แต่ไม่ต้องการให้น้องไอนส์ตายเป็นขี้เถ้าไปโดยสูญเปล่า

และการจะฟื้นกลับมาของลูกไม่ได้เป็นความเข้าใจแบบเส้นตรงทีเดียว ยังมีความซับซ้อนมีเงื่อนไขจำนวนมาก

เมื่อมีความตั้งใจที่จะเอาชนะโรคมะเร็งซึ่งเป็นภัยคุกคาม อันดับต้นๆ ของสังคมไทย จึงอยากให้กรณีของลูกสาวเป็นกรณีศึกษา

รวมไปถึงชีวิตของเด็กคนอื่นๆ ด้วยที่จะได้มีโอกาสหายจากโรคมะเร็ง ซึ่งตนมีความหวังมาก”

ก่อนจะไปถึงเรื่องอื่นขอบอกก่อนว่า การแช่แข็งศพนั้น นักวิทยาศาสตร์จะเอาร่างกายไปทำให้เย็นจนแข็งด้วยไนโตรเจนเหลว ที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า -196 องศาเซลเซียส  ร่างกายก็จะเป็นแบบเนื้อในตู้เย็นในห้องฟรีซ ทำนองนั้น

พวกนี้มีหลักคิดว่า ในอนาคตข้างหน้า วิทยาศาสตร์น่าจะมีความรู้ที่จะปลุกคนเหล่านั้นขึ้นมา โดยเซลล์ของร่างกายไม่เสียหายใดๆ เลย

ณ เทคโนโลยีของวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันนั้น ยังไม่สามารถทำให้เซลล์ที่ถูกแช่งแข็งกลับมาเหมือนเดิมได้นะครับ  เพราะ เซลล์จะถูกทำลายไปโดยกระบวนการแช่แข็งไปส่วนหนึ่งแล้ว

กลับมาเข้าเรื่อง ขอวิพากษ์วิจารณ์กันในแง่ของวิชาการกันก่อน

1- สมมุติว่า วิทยาศาสตร์ในอนาคตจะปลุกเด็กหญิงคนดังกล่าวขึ้นมาได้จริงๆ  ไอ้โรคมะเร็งที่ว่าจะรักษาได้หรือเปล่า...

2- สมมุติว่า วิทยาศาสตร์ในอนาคตจะปลุกเด็กหญิงคนดังกล่าวขึ้นมาได้จริงๆ  เด็กคนดังกล่าวจะมีชีวิตต่อไปได้อย่างไร  ก็ในเมื่อญาติพี่น้อง ตายห่ากันไปหมดแล้ว  ไม่เหลือแม่แต่คนเดียว

ต้องบอกก่อนว่า เทคโนโลยีที่ว่านี้  ไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้ภายใน 100 ปีนี้

3- แล้วที่ว่า จะเอาชนะโรคมะเร็งด้วยการทำแบบนี้  ผมว่า เพ้อเจ้อมากไปหน่อย  เป็นข้อแก้ตัวเสียมากกว่า

การจะแก้โรคมะเร็งนั้น ถ้าไปผ่าตัด DNA ก่อนที่จะเกิดมา  ยังมีเหตุผลมากกว่า

ผมขอฟันธงไปเลยว่า ผัวเมียแพทย์คู่นี้ ไม่เชื่อศาสนาพุทธแล้ว  ไปเชื่อวิทยาศาสตร์แบบเต็มตัวแล้ว

พวกนี้ไม่เชื่อว่า มนุษย์ประกอบไปด้วย  กาย + ใจ   คือ ไม่เชื่อเรื่อง ใจ-จิต-วิญญาณ ของคนตามคำสอนของศาสนาพุทธแล้ว

กลับมาถึงผลเสียของการกระทำดังกล่าว  เอาเรื่องฮวงซุ้ยกันก่อน 

ก่อนอื่นต้องขอยืนยันว่า ผมมีเชื้อสายจีนในตัวครึ่งหนึ่ง  ก๋งหรือตานั้นมาจากกวางตุ้งเลยทีเดียว แม่เล่าว่า ก๋งเป็นนายอำเภอ หนีเหมาเจ๋อตุงมา

ยายเป็นคนจีนในเมืองไทย  ยายผมนี่ ผมไม่เคยเห็นหรอก แม่ผมก็ไม่เคยเห็นเพราะ ยายเสียชีวิตตอนคลอดแม่

ปู่เป็นคนโคราช อยู่แถวๆ ปากช่อง  ย่าเป็นคนสุพรรณ

ที่ต้องบอกว่า ผมมีเชื้อสายจีน เพราะ การเอาศพไปไว้ที่ฮวงซุ้ยนั้น  คนที่ตายไปแล้วไม่ได้ไปไหนเลย เพราะ ห่วงศพของเขา

เดี๋ยวจะหาว่า ผมดูถูกคนจีน...

เมื่อพวกวิทยากรไปเช็งเม้งกัน จะสงสารมาก เพราะ จะเห็นผีเต็มไปหมด

ถ้าถามว่า แล้วเมื่อไหร่จะได้ไปตามบุญกรรม ก็ต้องรอจนกว่าร่างกายของเขาเสื่อมสภาพจนไม่เป็นร่างกายแล้ว  ผีเหล่านั้น จึงหมดห่วงจากร่างกาย ถึงจะไปไหนต่อไหนได้

ถ้าถามว่า เมื่อลูกหลานเอาของเซ่นไหว้ไปไหว้นั้น  พวกผีเหล่านั้นได้กินหรือเปล่า

คำตอบก็คือ  “ไม่ได้กินเลย”  เพราะ พวกผีอื่นๆ ที่มีอำนาจมากกว่ามาแย่งกินหมด

อธิบายง่ายๆ ก็เหมือนเด็ก ป. 1 ไปซื้อขนมมา แล้วถูกเด็กโตกว่า ที่กวนส้นตีนมาบังคับเอาไปกินหมด ทำนองนั้น

อย่างไรก็ดี  ผมโชคดีอยู่อย่างหนึ่งคือ ทางแม่ผมนั้น ค่อนข้างมาทางไทยมากแล้ว คือ ไม่ว่าใครตาย ใช้ระบบเผาแบบศาสนาพุทธอย่างเดียว

สำหรับเด็กหญิง 2 ขวบที่ถูกนำไปแช่แข็งนั้น  ต้องนับว่ามีกรรมหนักหนาสาหัสมาก  การที่เกิดมาแล้ว ต้องตายไปด้วยอายุขนาดนั้น ก็แสดงว่า กรรมเก่าหนักหนาพอสมควร

เกิดมาทั้งทียังไม่มีโอกาสได้สร้างบารมีเลย ก็เสียชีวิตเสียแล้ว

เมื่อตายไปแล้ว  แทนที่ว่า ดวงวิญญาณจะได้ไปตามธรรมชาติ คือ อาจจะไปเกิดใหญ่ หรือไปนรก ไปสวรรค์  แล้วมาเกิดใหม่กลับไปไหนไม่ได้

แต่จะต้องมาเฝ้าร่างกายของตัวเองที่ถูกแช่แข็งอยู่  แล้วก็ไม่รู้ร่างกายอันนี้ มันจะเสื่อมสภาพไปเมื่อไหร่

นี่ก็เข้าข่าย พ่อแม่รังแกฉันเหมือนกัน..............






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น