บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ถอดจิตไปจักรวาลคู่ขนาน


ผมไปอ่านพบบทความในบอร์ดพลังจิตชื่อ "การเดินทางย้อนอดีตในจักรวาลคู่ขนาน"  อ่านแล้ว ก็มึนงง ในความบ้า ความงี่เง่าของคุณ webSnow คนเขียนเป็นยิ่งนัก

ที่มึนขึ้นไปอีกก็คือ มีคนเชื่อ คุณ webSnow มากเหมือนกัน  พวกนี้จะพากันลงนรกไปหมด เพราะ ความงี่เง่า ความเป็นสมองหมา ปัญญาควายของพวกเขาเอง

ที่น่ากลัวสำหรับคนที่อ่านน้อย หรืออ่านมาก ที่สมองในส่วน "คิดวิเคราะห์" ไม่ทำงาน เพราะ การศึกษาของไทยไม่ได้สอนไว้ ก็คือ ข้อเขียนมันดู "เหมือนจริง"  มันก็เลยทำให้ดูน่าเชื่อถือ 

ผมขอยืนยัน เดินยัน นอนยันเอาไว้ตรงนี้เลยว่า ถ้า คุณ webSnow ไม่หลอกคนอื่น มันก็บ้าไปแล้ว แต่น้ำหนักนั้น ผมยังออกมาทางว่า "webSnow" กำลังโกหกหลอกลวงประชาชนอยู่

คุณ webSnow เขียนไว้ยาวมาก ผมจะอธิบายและสรุปเป็นส่วนๆ ไป เพื่อไม่ให้บทความมันยาวนัก

คุณ webSnow เริ่มต้นบทความด้วยข้อความ 3 ข้อด้านล่าง และสรุปไว้ด้วยดังนี้

1- หลักการการที่จะเดินทางย้อนไปในอดีตและอนาคต ได้ตามแบบของวิทยาศาสตร์ ต้องเดินทางไปด้วยความเร็วที่เร็วกว่าแสง (คิดค้นโดย Einstien)

2- สมมุติฐานและการค้นทดลองพบจักรวาลคู่ขนาน นั้นมีมานานแล้ว

3- การการทดลองค้นคว้า จิต เร็วกว่าแสง

จากที่ว่าอะไรที่สามารถเดินทางได้เร็วกว่าแสง จะสามารถเดินทางไปอดีตและอนาคตได้

ตอนนี้ เรารู้ว่าจิตสามารถเดินทางได้เร็วกว่าแสง จิตจึงมีความน่าจะเป็นที่ว่าจะสามารถเดินทางไปอดีตและอนาคตได้

ข้อเขียนดังกล่าวนั้น "ผิด" ทั้งหมด  แต่ คุณ webSnow เอาของจริงมาปนไว้ด้วย  มันจึงดูเหมือนจริงมาก

ไอน์สไตน์คิดทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป/เฉพาะ ทฤษฏีของไอน์สไตน์มีความเร็วของแสงอยู่ด้วย แต่ไอน์สไตน์ยืนยันว่า "ไม่มีอะไรเร็วกว่าแสง"

การเคลื่อนที่ด้วยความเร็วกว่าแสงนั้น เป็นนักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังคิดว่าทำได้  แต่ไม่ใช่ไอน์สไตน์อย่างแน่นอน

ในกรณีของ "จักรวาลคู่ขนาน" นั้น เป็นเพียง "แนวคิด" เท่านั้น ยังไม่เข้าขั้น "ทฤษฏี" เลย แต่ที่มันได้รับความนิยมมากๆ ก็เพราะ คนทำหนังชอบเอามาสร้างเป็นหนัง  แล้วก็ขายดีเสียด้วย

ที่นักวิทยาศาสตร์ยอมรับกันในทางทฤษฎีก็คือ จักรวาลไม่ได้มีจักรวาลเดียวอย่างความเชื่อเดิมๆ  ดูชื่อก็ได้คือ Universe  Uni คือ 1   verse คือ จักรวาล

เดี๋ยวนักวิทยาศาสตร์ท่านตั้งชื่อใหม่เป็น Multi-verse

นักวิทยาศาสตร์หรือนักคิดหลายๆ ท่าน เชื่อเรื่องการเข้าไปในอดีตได้  แต่ไม่สามารถอธิบายได้ว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ว่า

ถ้าผมฆ่าปู่ของผมในอดีต แล้วผมจะได้เกิดหรือไม่

ท่านก็สันนิษฐานว่า เหตุการณ์นั้น น่าจะเกิดในจักรวาลคู่ขนาน

ในทางวิชาธรรมกาย  เรามีจักรวาลเป็น "อนันต์" จริง  คือ นับไม่ถ้วนแล้ว  แต่จักรวาลของใครก็ของมัน  ไม่มีเราในจักรวาลอื่น

ตัวของเรานั้น มีหลายกายอยู่แล้ว คือ มีจนนับไม่ถ้วนเหมือนกัน  กายหลักๆ มี 18 กาย แต่ละกายนั้น ก็มี 18 กายอีกไปเรื่อย

มาถึงข้อสรุปนี้ ก็ไม่เป็นความจริงอีกเช่นเดียวกัน

ตอนนี้ เรารู้ว่าจิตสามารถเดินทางได้เร็วกว่าแสง จิตจึงมีความน่าจะเป็นที่ว่าจะสามารถเดินทางไปอดีตและอนาคตได้

ผมยังสงสัยอยู่ว่า ทำไมมีคำจำนวนมากชอบพูดว่า "จิตเดินทางได้เร็วกว่าแสง"  ผมก็ไม่รู้ว่า จะเปรียบเทียบกันไปทำไม และให้มันเกิดอะไรขึ้นมา

ในทางศาสนาพุทธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยวิชาธรรมกายนั้น  เวลาเราจะไปไหน เช่น ไปเขาพระสุเมรุ ไปสวรรค์ ไปนรก  เมื่อเรา "นึก" จะไป  มันก็ไปถึงเลย

ถ้าพูดในแบบของผมก็คือ  ในทางปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ "ระยะทาง" ไม่มีความจำเป็น คือ ไม่ต้องไปกล่าวถึงระยะทางในแผนที่ 

ก็แค่นั้น  ทำไมจะต้องไปเปรียบเทียบทำนองเหยียบย่ำวิทยาศาสตร์ว่า "จิตเดินทางได้เร็วกว่าแสง"  

ต่อไปมาพิจารณาการฝึกของพวกบ้า กลุ่มนี้กัน

วิธีฝึก มี 3ขั้นใหญ่ๆ  

หลักการคือให้มองให้เห็นโลกอดีตแล้วเดินทางเข้าไปในนั้น พยายามให้ระลึกเสมอว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน

++ เข้าสมาธิ ฝึกมอง ++
1) ลืมตามองผนังบ้านตัวเอง แล้วมองจุดใดจุดหนึ่งไว้ ให้จำผนังบ้านให้ได้ รวมทั้งระยะห่าง

2) หลับตาลง แล้วให้นึกสิ่งที่เรามองตอนเราลืมตา และก็ให้ภาพอยู่ในตำแหน่งเดิม แล้วก็มองเพ่งไว้จนภาพชัดขึ้นเรื่อยๆ สลัวๆก็ใช้ได้แล้ว

เมื่อไหร่ก็ตามถ้ารู้สึกว่าคล้ายๆกับว่าเราสามารถมองทะลุหนังตาที่ปิดอยู่ได้และเรารับรู้ว่านี่คือสัมผัสอย่างหนึ่ง แสดงว่าใช้ได้แล้ว

การมองในเวลาที่เราหลับตาไม่ได้มองด้วยตา แต่มองด้วยนึกเอา พอเราฝึกคล่องๆแล้วเราจะรู้เองว่านี่คือสัมผัสอย่างหนึ่ง

ถ้าได้แล้วให้ฝึกขั้นต่อไป

คุณ webSnow เวลาฝึกการมองไปในอดีต เขาให้ฝึกกับฝาบ้าน  คิดเอาเองก็แล้วกันว่า มันบ้าเข้าขั้นขนาดไหน  สนใจในรายละเอียดก็ไปอ่านเอาเอง ผมทำลิงก์ไว้ให้แล้ว

++ ย้อนเวลา ซ้อนมิติ ++
3) ให้เรานึกถึงสถานที่ในอดีตที่เราชอบที่สุด 1 ที่ เช่นนึกว่าตอนเป็นเด็กเราเคยนอนที่บ้านหลังนึง ณ ตรงที่เราเคยนอน

4) ให้คิดว่าตอนนี้เรากำลังนอนอยู่ใน ณ.สถานที่ในอดีต ตามข้อ3 ให้เราคิดเรื่องทิศทางด้วยเราจะรู้สึกว่าเราคล้ายๆ หมุนปรับทิศทาง

5) ให้นึกถึงภาพในอดีต ตอนนี้ให้เราใช้วิธีมองทะลุหนังตา

มองให้เห็นผนังบ้านในอดีต และเพ่งตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งไว้และให้เห็นภาพชัดขึ้นเรื่อยๆ ภาพที่เห็นจะเป็นขนาดเท่าของจริง

ตอนนี้เราจะเห็นภาพในอดีตในขณะหลับตา ถ้าเราลืมตาเราจะเห็นบ้านปัจจุบัน มิติแห่งอดีตมาซ้อนกับปัจจุบันแล้ว

คุณ webSnow นี่ มันกล้าหลอกลวงคนอ่าน ด้วยความบ้าขนาดนี้ มันกล้าทำเหมือนกัน หรือว่า คนอ่านส่วนใหญ่ สมองหมา ปัญญาควายกันทั้งนั้น

++ เดินทางเข้าไปในโลกอดีต ++
6) ต่อจากข้อ5 หลังจากเพ่งตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งไว้แล้วให้เราเลื่อนตำแหน่งไปมองที่อื่น กายทิพย์เราจะออกเองตามที่เรามอง

7) เมื่อกายทิพย์ออกแล้ว ตอนนี้เราจะเห็นภาพบ้านในอดีต

ตำแหน่งที่เราไม่ได้คิดไว้จะเกิดเองเป็นบ้านทั้งหลังเลย

จุดที่เรากำหนดเป็นตำแหน่งเดียวคือผนังบ้านแต่เวลาเราถอดจิตออกเราจะเห็นตำแหน่งบ้านทั้งหมด รวมทั้งเห็นบ้านเพื่อนบ้านและสิ่งของต่างๆอย่างน่าอัศจรรย์

เวลาดึงจิตกลับร่างให้เราระลึกว่าเราทำอะไรอยู่ที่ไหนแล้วจิตจะเข้าร่าง

อ้าว.......... มีกายทิพย์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย  ช่วงท้ายของบทความออกมาดังนี้

ปัจจุบันปฏิบัติ ลองทำได้สำเร็จแล้ว ร้อยกว่าครั้ง ยังไม่สรุปออกมาเป็นความเชื่อว่าจักรวาลคู่ขนานนั้นมีอยู่จริง

ครั้งล่าสุด วันที่ 8 october 2004 เวลาประมาณ 4.30 นาที

กุมารทองมาหาหลายองค์ เท่าขนาดเด็กอายุประมาณ 3-4 ขวบ

มาปลุกให้ผมลุก ผมก็ลุกถอดจิตออกจากกายเนื้อ แต่พอลุกขึ้นมองดูรอบๆ (เห็นเป็นบ้านหลังเดิมในอดีต ที่ผมเคยถอดจิตทำการทดลอง)

แล้วบรรดากุมารทองพาผมเดินไปพบเทวดาองค์สีเขียวใส่ชุดไทยสีเขียวมีสายทองระยับนั่งอยู่บนแท่หนหลายองค์เป็นชายหญิง

แล้วเทวดาผู้หญิงเดินมาหาผมแล้วให้ พระมา 2 กำมือ องค์ขนาดเล็กๆ เป้นพระหลวงพ่อองค์เล็กๆ มียันเกาะเพชรและให้พระเจ้าตากสินมหาราช และท่านบอกผมว่าให้ผมสร้างวัด

มีกุมารทอง มีเทวดาด้วย

สุดท้ายเลย ไอ้ webSnow นี่ จะหลอกขายพระ กับหลอกเรี่ยไรเงินนั่นเอง






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น