บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

เห็น จำ คิด รู้ - อนุภาคพื้นฐาน



ถ้าติดตามข่าวของวิทยาศาสตร์อย่างต่อเนื่อง ผู้อ่านก็จะพบว่า นักฟิสิกส์ใหม่ เขากำลังหาอนุภาคพื้นฐาน เพื่อต้องการจะทราบว่า เอกภพ/พหุภพ [universe/multi-verse/multi universe] มีกำเนิดมาอย่างไร

วิทยาศาสตร์เก่าแบบนิวตันนั้น นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า เอกภพมีหนึ่งเดียว จึงตั้งชื่อว่า universe

ปัจจุบันนักฟิสิกส์ใหม่รู้แล้วว่า เอกภพมีนับไม่ถ้วน จึงมีการบัญญัติศัพท์ใหม่ขึ้นมาเรียกเช่น multi-verse/multi universe

ตรงนี้ขอบอกให้รู้ว่า พระพุทธเจ้าทรงรู้มานานแล้ว

ในภาษาไทยเราใช้คำว่า "อนันตจักรวาล" คือ คำว่า จักรวาลของภาษาไทย คือ verse ในความหมายของนักวิทยาศาสตร์

คำแปลจากภาษาอังกฤษมาเป็นภาษาไทย แล้วแปลคำจากภาษาไทยไปเป็นภาษาอังกฤษ ทำให้ความหมายของจักรวาลเกิดความสับสน

verse = ภพ 
จักรวาล = verse

ขอให้ระวังความหมายของคำต่างๆ เมื่ออ่านเกี่ยวกับเรื่องจักรวาลเอาไว้ด้วย

จากการสนใจในประเด็นที่เกี่ยวกับอะตอมมาอย่างยาวนานต่อเนื่อง  องค์ความรู้ปัจจุบันของนักฟิสิกส์ใหม่ จึงสามารถค้นได้ว่า ในโลกของเรานี้ ไม่ได้มีแต่ สสาร (matter) แต่เพียงอย่างเดียว ยังมีคู่ตรงข้ามของมันคือ ปฏิสสาร (Antimatter) อยู่ด้วย

สสาร (matter) กับ ปฏิสสาร (Antimatter) ถ้ามันชนกัน ก็จะเกิดระเบิดให้พลังงานมหาศาลมาก

ในเมื่อสสารมีคู่ตรงข้าม อนุภาคซึ่งอยู่ในอะตอมของสสารก็มีคู่อนุภาคของมันด้วย  เช่น มีอิเล็กตรอนก็มีปฏิอิเล็กตรอน/โพสิตรอน เป็นต้น

ดูภาพไฮโดรเยนกับปฏิไฮโดรเยน ด้านบน

องค์ความรู้ทางฟิสิกส์ใหม่ก้าวหน้าไปมาก จนสามารถแบ่งอะตอม และสามารถกันอนุภาคกับปฏิอนุภาคแยกออกห่างจากกันได้

การทำดังกล่าวนั้น กระทำในห้องปฏิบัติการของวิทยาศาสตร์ ห้องปฏิบัติการที่ว่านี้ ยาวเป็นกิโลเมตร หลายกิโลเมตรว่างั้นเถอะ ดูภาพด้านบน

อนุภาคกับปฏิอนุภาคมีคุณสมบัติอยู่ประการหนึ่งคือ มันจะทำอะไรที่เป็นสิ่งตรงกันข้ามกัน ถ้านักวิทยาศาสตร์ทำให้อนุภาคหมุนไปทางซ้ายมือ ไอ้ตัวปฏิอนุภาคมันจะหมุนไปทางขวามือทันที

ทั้งๆ ที่อนุภาคกับปฏิอนุภาคมันอย่างห่างกันมาก

นักวิทยาศาสตร์สามารถสรุปได้ว่า ไม่ว่าจะห่างกันแค่ไหน มันก็จะทำอาการแตกต่างกันอย่างทันทีทันควัน ในช่วงระยะเดียวกันเลย

สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้ก็คือ อนุภาคกับปฏิอนุภาคมันติดต่อสื่อสารกันได้อย่างไร และทำไมมันจึงสื่อสารกันได้รวดเร็วขนาดนั้น

อย่างไรก็ดี ผลที่ตามมาจากการค้นพบดังกล่าว นักฟิสิกส์ใหม่สรุปผลออกมาว่า อะตอมมีจิตวิญญาณ (ผมตั้งศัพท์ให้เข้าใจง่ายขึ้น)

ในบล็อกอื่นๆ ผมได้พยายามอธิบายมาเสมอว่า องค์ความรู้ของนักฟิสิกส์ใหม่ โค่นล้มองค์ความรู้ของวิทยาศาสตร์เก่าแบบนิวตัน ไปเกือบทั้งหมด

เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกันจะเห็นว่า วิทยาศาสตร์เก่าแบบนิวตัน ปฏิเสธว่า จิตวิญญาณไม่มี แต่นักฟิสิกส์ใหม่กลับบอกว่า อะตอมมีจิตวิญญาณ

เพราะ ในการสื่อสารกันระหว่างอนุภาคกับปฏิอนุภาค มันต้องมี “อะไรสักอย่าง” เป็นตัวสื่อสาร

จากที่เขียนไปทั้งหมดข้างต้นนั้น ถ้าสามารถสรุปได้เลยว่า ในเมื่ออะตอมมีจิตวิญญาณ สสารทุกสิ่งก็จะต้องมีจิตวิญญาณไปด้วย เพราะสสารประกอบด้วยอะตอมทั้งนั้น

ผมนำเรื่องนี้ ไปถามคุณลุงการุณย์ บุญมานุช โดยใช้คำถามว่า "คุณลุงครับ นักวิทยาศาสตร์เห็นว่า อะตอมมีวิญญาณ ดังนั้น อิฐ หิน ดิน ทราย ต้นไม้ ก็ต้องมีวิญญาณทั้งหมด ใช่ไหมครับ"

คุณลุงให้คำตอบว่า

ในทางวิชาธรรมกาย ทุกสิ่งทุกอย่างประกอบไปด้วย เห็น จำ คิด รู้ ทั้งหมด แต่จะมีมากน้อยต่างกันไป

สสารก็มี เห็น จำ คิด รู้เป็นองค์ประกอบอยู่ด้วยทั้งนั้น แต่มีจำนวนมากน้อยต่างกัน สิ่งที่เคลื่อนที่ได้ เช่น น้ำ เป็นต้น จะมีมากกว่าสิ่งที่เคลื่อนที่ไม่ได้ เช่น หิน เป็นต้น

ดังนั้น สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เก่ากับนักฟิสิกส์ใหม่ไม่เข้าใจว่า ปรากฏการณ์การหมุนตัวตรงข้ามกันของอนุภาคกับปฏิอนุภาคมันเกิดขึ้นได้อย่างไร

วิชาธรรมกายพบมาก่อนหน้านี้ เป็นพันปีมาแล้ว

สิ่งที่วิชาธรรมกายค้นพบนั้น ละเอียดกว่าอนุภาคพื้นฐานที่ทางวิทยาศาสตร์พยายามค้นหามาก และยืนยันได้เลยว่า ถ้าค้นหาอย่างนักวิทยาศาสตร์ต่อไป ไม่มีทางค้นพบได้อย่างแน่นอน

เพราะ นักวิทยาศาสตร์ใช้เครื่องมือที่ผิดพลาดในการค้นหา

การที่ค้นพบว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีเห็น จำ คิด รู้ เป็นองค์ประกอบพื้นฐานทั้งนั้น “สิ่ง” บางอย่างที่ไม่มีชีวิต จึงสามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้

ตัวอย่างที่ 1

1) สามารถอธิบายงานของนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น ที่ทดลองเรื่องโมเลกุลของน้ำ ที่เขาพบว่า เมื่อแผ่เมตตาให้น้ำ พูดจากับน้ำดีๆ โมเลกุลจะออกมาสวยงาม แต่เมื่อด่าน้ำ โมเลกุลก็จะออกมาน่ากลัว น่าเกลียด

นักวิทยาศาสตร์รู้เท่านั้น แต่ไม่เข้าใจ

ในเมื่อวิชาธรรมกายอธิบายว่า สสารมีเห็น จำ คิด รู้ เช่นเดียวกับมนุษย์ แต่มีน้อยกว่า

ดังนั้น น้ำก็ต้องมี เห็น จำ คิด รู้ด้วย เมื่อเราแผ่เมตตาให้ เราสวดมนต์ให้ โมเลกุลของเราจึงออกมาสวยงาม

เมื่อเราทำในสิ่งตรงกันข้าม คือ แสดงความเกลียดชัง ด่า โมเลกุลของน้ำจึงออกมาไม่สวยงาม

2) การเปิดเพลงให้ต้นไม้แล้วต้นไม้โตเร็วขึ้น

นักวิจัยทดลองกันมานานแล้ว แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้นไม้จึงโตเร็วขึ้น  

โดยสรุป

ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ต้องการค้นหาความจริงแท้ของธรรมชาติ แต่ก็ศึกษาออกไปนอกทางเรื่อยไป จึงต้องมาตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย อีกนับภพนับชาติไม่ถ้วน

พระพุทธเจ้าค้นพบความจริงแท้ของธรรมชาติแล้ว นั่นก็คือ วิชาธรรมกาย และนำมาสั่งสอนแล้ว  คนที่ปฏิบัติตามก็สามารถจะลดภพชาติได้อย่างมากมายมหาศาล

นอกจากนั้น เมื่อยังอยู่ในโลกมนุษย์ ก็จะมีความสุข ความสบาย ตามแก่อัตภาพ

ท่านผู้อ่านจะเชื่อในองค์ความรู้ใด ก็ตามสะดวก เราเป็นผู้ลิขิตชีวิตของเราเอง






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น