บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ทำไม..... วิทยาศาสตร์เป็นความจริง แต่ศาสนาเป็นเพียงความเชื่อ...


ทำไม..... วิทยาศาสตร์เป็นความจริง แต่ศาสนาเป็นเพียงความเชื่อ...

ผมพบคำถามแบบนี้ บ่อยมากในกระทู้ทางศาสนา  พวกที่ตอบส่วนใหญ่ก็ไม่รู้จริง 

เรื่องนี้ ต้องอธิบายกันยาวพอสมควร........  

มันเป็นเรื่องของคำ 2 คำกับอำนาจของความรู้ นั่นก็คือ "ความเชื่อ" กับ "ความจริง"  

ตอนนี้ องค์ความรู้ที่มีอำนาจมากสุดๆ ก็คือ "พวกที่อวดอ้างตัวเองว่าเป็น "วิชาการ"  ส่วนใหญ่ก็อ้างว่า ตนเองเป็นวิทยาศาสตร์  

อะไรก็ตาม ที่วิชาการ/วิทยาศาสตร์เผยแพร่ออกไป ทุกสิ่งทุกประการคือ "ความจริง"  แต่ถ้าเป็นองค์ความรู้อื่นๆ เช่น ศาสนา ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ เป็นต้น เสนอออกมาจะเป็น "ความเชื่อ" ทั้งหมด และ

*-*-*-*

ความเชื่อเหล่านั้นต้อง "ไม่ใช่ความจริง" 

*-*-*-*

กล่าวคือ... ถ้าบอกว่า "อะไรหรือสิ่งใดคือความเชื่อ"  ก็รู้กันเป็นนัยๆ ว่า "สิ่งนั้นไม่จริง" 

ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่ใช่อย่างนั้น...............  

*-*-*-*

อะไรก็ตามที่วิชาการ/วิทยาศาสตร์เผยแพร่ออกไป มันก็เป็น "ความเชื่อ" เหมือนกัน   ซึ่งมันจะจริงหรือไม่จริงก็ว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง 

*-*-*-*

เท่าที่พบมา  ส่วนใหญ่ก็ "ไม่จริง" อย่างที่คุยโม้โอ้อวดกันออกมา

เอาเรื่องเวลาก่อน  เมื่อก่อนนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า "เวลาตรงกันทั้งโลก ทั้งจักรวาล" เป็นเรื่องตายตัว  เดี๋ยวนี้เราก็รู้แล้วว่า เป็นความเชื่อของคนยุคหนึ่งเท่านั้น และไม่จริงเสียด้วย

เวลาของใครก็ของมัน ไม่มีใครมีเวลาตรงกันเลย แม้แต่คนเดียวในโลกนี้  แต่ที่เราวัดไม่ได้เพราะเวลามันขึ้นกับความเร็ว

ความเร็วในการเคลื่อนที่ของคนเรา ต่างกันไม่มาก เราก็จึงไม่รู้ เวลาของเราต่างกัน

ระบบ GPS เป็นระบบที่พิสูจน์ ความเชื่อเรื่องเวลาตรงกันของนิวตัน "เป็นเรื่องไม่จริง"  อย่างที่เผยแพร่กันออกมา 

ระบบ GPS ถ้าใช้สูตรของนิวตัวคำนวณจะบอกตำแหน่งผิดไปประมาณ 25 กิโลเมตร แต่ถ้าใช้สูตรของไอน์สไตน์คำนวณ จะตรงเผงเลยทีเดียว

แต่ความเชื่อเรื่องเวลาตรงกันของนิวตันก็ไม่ใช่เรื่องโกหก  เพราะ มันเป็นเรื่องจริงเหมือนกัน แต่เป็นความจริงที่แคบมากๆ  ไม่ได้เป็นความจริงสากลอย่างที่นักวิทยาศาสตร์ต้องการ

ต่อมาเรื่องประเด็นสำคัญเลย  วิทยาศาสตร์แบบนิวตันเห็นว่า "อะไรก็ตามที่สัมผัสไม่ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ หู ตา จมูก ลิ้น และกาย"  สิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง  

ความเชื่ออันนี้ ทำลายศาสนาไปหมดทั้งโลก  นักการศาสนาทั้งหมดก็ต้องตัดทิ้งเรื่องนรก สวรรค์ออกไป เพื่อให้สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์

เรื่องนี้ก็เป็นความเชื่อที่ไม่จริง......... ถือว่าเป็นเรื่องที่โกหกได้เลย  

ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ค้นพบเรื่อง "สสารมืด" (Dark matter)  สสารมืดนี้ สัมผัสไม่ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ หู ตา จมูก ลิ้น และกาย แต่มีอยู่จริง และมีอยู่ประมาณ 95% ของสสารทั้งหมดในจักรวาล

จะเห็นได้ว่า "ความเชื่อ" กับ "ความจริง" มันเป็นคนละเรื่องกัน  

โดยสรุป....

ความเชื่อนั้น อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้   ทั้งวิทยาศาสตร์ ไสยศาสตร์ ศาสนา ก็เป็นความเชื่อด้วยกันทั้งหมด ซึ่งอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ 

วิทยาศาสตร์ไม่ได้เสนอความจริงแท้ แต่วิทยาศาสตร์เสนอความเชื่อเช่นเดียวกัน 

ที่ชอบพูดชอบเขียนกันว่า "วิทยาศาสตร์เป็นความจริง ศาสนาเป็นความเชื่อ" มันก็ไม่จริงเช่นเดียวกัน

-------------------------

เขียนโดย ดร. มนัส โกมลฑา Ph.D. (สหวิทยาการ)

www.manaskomoltha.net

Facebook Fanpage: https://www.facebook.com/manas4299/

Line ID : manas4299

Youtube: https://www.youtube.com/user/mommeam4299/

โทรศัพท์ : 083-4616989

ลิงจะวิวัฒนาการเป็นคนได้หรือไม่



มีคนไปตั้งคำถามที่น่าสนใจในห้องหว้ากอ พันธุ์ทิพย์ว่า “โลกปัจจุบัน..ลิง ยังสามารถวิวัฒนาการเป็นมนุษย์ได้หรือไม่ เช่น ลิงไม่มีหางทั้งหลายชนิด”  คำถามพวกนี้ ดูเหมือนจะไร้สาระ แต่จริงๆ แล้ว มันพัฒนาการคิดของคนได้ดี

พวกที่เข้าไปร่วมความคิดเห็นนั้น เป็นสาวกวิทยาศาสตร์กันทั้งหมด ผมจะตอบปัญหานี้ในทางวิชาธรรมกาย

เรามาสรุปประเด็นความคิดเห็นกับความรู้กันเลย

จากภาพด้านบนนั้น และความคิดเห็น 2 ความคิดเห็นนี้ เป็นความรู้หลักๆ ที่เรารู้ๆ กันอยู่

ความคิดเห็นที่ 1

มนุษย์ไม่ได้วิวัฒนาการมาจากลิง แค่มีบรรพบุรุษร่วมกัน  ถึงลิงปัจจุบันจะวิวัฒนาการไปได้ แต่ก็จะไม่นับเป็นมนุษย์ เป็นสายพันธุ์อื่นแยกต่างหากอยู่ดี

ความคิดเห็นที่ 3

ถึงลิงในตอนนี้จะวิวัฒนาการเทียบเท่ามนุษย์ได้ในอนาคตอันไกลโพ้น เราก็จะไม่เรียกมันว่ามนุษย์ มันอาจจะชื่อละมุด

ซึ่งหากถึงตอนนั้นจริงมนุษย์เราก็คงจะวิวัฒนาการทิ้งละมุดไปอีกระดับหนึ่ง

อย่างไรก็ดี  ทฤษฎีที่ว่า คนกับลิงมีบรรพบุรุษร่วมกันนั้น  ก็ยังมีคนไม่เชื่อ เพราะ นักวิทยาศาสตร์ก็ยังหา Missing Link ไม่เจอ

พูดง่ายๆ ว่า นักวิทยาศาสตร์ก็ “เดา” เอาเหมือนกันว่า คนกับลิงมีบรรพบุรุษร่วมกัน  ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง  นักวิทยาศาสตร์ต้องหาไอ้ตัว Missing Link นี่ให้ได้  แต่หากันมานานจนถึงปัจจุบันนี้แล้ว ก็ยังไม่เจอ

สำหรับความเห็นของผมในทางวิทยาศาสตร์ ผมก็ไม่เชื่อทฤษฎีที่ว่า คนกับลิงมีบรรพบุรุษร่วมกัน

ทฤษฎีที่ว่านี้ เป็นแนวความคิดที่ได้รับอิทธิพลจากทฤษฎีวิวัฒนาการทางชีววิทยาของชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) ซึ่งเดี๋ยวนี้ไม่ได้รับความนิยมแล้ว เพราะ มีปัญหามาก มีข้อบกพร่องในทฤษฎีเยอะ 

เมื่อไหร่ ทฤษฎีวิวัฒนาการทางชีววิทยาของชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) ถูกตีตกไป  สมมุติฐานที่ว่า คนกับลิงมีบรรพบุรุษร่วมกันก็จะถูกตีตกไปด้วย

เถียงกันไปเถียงกันมา เพราะ ดูแล้วคำถามมันกำกวม ที่คนหนึ่งอ่านสรุปความได้ดี ก็เลยสรุปไว้ดังนี้

อ่านๆไปพอเข้าใจละ  ว่ามีความเข้าใจกันสองรูปแบบ

รูปแบบแรก

เข้าใจว่า จขกท ถามว่า เป็นไปได้มั้ยที่ Pan (ลิงซิมแพนซี) จะกลายเป็น Homo (มนุษย์)  คำตอบคือ ไม่ได้ เพราะแยกสายพันธุ์กันไปแล้ว

รูปแบบที่สอง

เข้าใจว่า จขกท ถามว่า เป็นไปได้มั้ยที่ Pan (ลิงซิมแพนซี) หรือ Great ape ทั้งหลาย จะมี Behavioral modernity (พฤติกรรมแบบมนุษย์) หรือ ความฉลาดแบบมนุษย์

คำตอบคือ มีความเป็นไปได้ ร่างกายพร้อมแล้ว แค่สมองยังไม่พร้อม แต่ก็จะเรียกเป็นมนุษย์อีกสายพันธุ์หนึ่งแทน Human

มีหลายคน เถียงกันว่า ลิงจะวิวัฒนาการเป็นคนได้หรือไม่ได้ เกี่ยวกับสมอง ซึ่งไม่เป็นความจริงอีกเช่นเดียวกัน

ขนาดของสมอง น้ำหนักของสมอง ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับความฉลาด หรือความสามารถในการคิดของคนหรือสัตว์

มีความเข้าใจโดยทั่วไปว่า คนหัวโตฉลาดกว่าคนหัวลีบ. ทั้งนี้  ด้วยความเชื่อที่ว่า สมองที่มีขนาดใหญ่กว่า ทำให้คนฉลาดขึ้น. แต่ข้อเท็จจริง เป็นอย่างไรกันครับ ??

สมองของมนุษย์ มีน้ำหนักไม่แตกต่างกันมากนัก. โดยถัวเฉลี่ย สมองของผู้ชายหนักประมาณ 1,400 กรัม และ ของผู้หญิง ประมาณ 1,250 กรัม.

ไอน์สไตน์ซึ่งเป็นอัจฉริยะทางวิทยาศาสตร์ มีน้ำหนักสมองเพียงประมาณ 1,230 กรัม.

(เพื่อเป็นข้อมูลเปรียบเทียบ สมองช้างหนัก 5,000 กรัม ขณะที่สมองปลาวาฬหนัก 9,000 กรัม.)
คงพอสรุปได้กระมังนะครับ..ว่า..น้ำหนักไม่เกี่ยว...

บางคนอาจจะมองว่า สัดส่วนของน้ำหนักสมองต่อน้ำหนักตัว น่าจะเป็นดัชนีบ่งชี้ความฉลาดของสัตว์หรือไม่ ?

ลองมาดูนะครับ ปลาวาฬ Sperm Whale มีสัดส่วน (น้ำหนักสมองต่อน้ำหนักตัว) ร้อยละ 0.02 ขณะที่มนุษย์ ประมาณร้อยละ 2  และหนู ร้อยละ 2.86 .

ข้อมูลนี้ บ่งชี้ว่า สัดส่วนน้ำหนักสมองต่อน้ำหนักตัวของสัตว์  ก็ไม่เกี่ยวกับความฉลาดของสัตว์นั้นๆอยู่ดี..


ขอตอบคำถามในทางวิชาธรรมกาย ดังนี้

ไม่มีทางที่ลิงจะวิวัฒนาการเป็นคน หรือจะวิวัฒนาการจนฉลาดเหมือนคน หรือเท่าคน  เหตุผลก็คือ ลิงเป็นสัตว์ ไม่ใช่มนุษย์ 

ประเด็นนี้ต้องไปดูที่กายละเอียด  กายละเอียดของลิงนั้น เป็นคนทั้งสิ้น แต่ยังอยู่ในช่วงชดใช้กรรมเก่า  กายละเอียดจึงดำๆ

เมื่อดูทางกายภาพ  การที่ลิงไม่สามารถเดิน 2 ขาได้อย่างมนุษย์ก็เพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งแปลว่า ไปทางขวาง  ลิงจึงไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้

ผู้ที่จะปฏิบัติธรรมได้จะต้องเดิน 2 ขา  นั่งตัวตรงได้ ซึ่งก็คือ มนุษย์ประเภทเดียวเท่านั้น

ในทางศาสนาพุทธนั้น  คนกับลิงก็ไม่ได้มีบรรพบุรุษร่วมกันด้วย 

สำหรับประเด็นของสมองนั้น  นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้ว่า ใครเก่งไม่เก่ง เพราะ เนื้อสมองไม่ใช่เป็นตัวชี้วัด 

ในทางวิชาธรรมกาย เรารู้ว่า ดวงบุญ-บารมีคือ ตัวชี้วัดความฉลาดของมนุษย์  ใครมีดวงปัญญาบารมีใหญ่มาก ใสมาก ก็จะเก่งกว่าคนที่มีดวงปัญญาบารมีเล็กกว่า สว่างน้อยกว่า ถึงแม้จะหัวเล็กกว่ากันก็ตาม

นักวิทยาศาสตร์ไม่ได้ศึกษาแบบเดียวกับศาสนาพุทธ  นักวิทยาศาสตร์จึงไม่รู้ในเรื่องนี้






ผ่าตัดเปลี่ยนหัวคน




ในช่วงนี้ มีข่าวที่น่าจะสนใจและจะเป็นประเด็นทางกฎหมาย ทางศีลธรรม ฯลฯ อีกมากในอนาคตข้างหน้า คือ ข่าวการผ่าตัดเปลี่ยนหัวคน

ขอลงเนื้อหาข่าวของมติชน “ยันทำได้ตัดต่อ"หัวคน" เปลี่ยนร่างใหม่!?” ดังนี้

แซร์จิโอ คานาเวโร ศัลยแพทย์ประสาทชาวอิตาลี สร้างความฮือฮาไปทั่วโลก เมื่อประกาศตัวเตรียมดำเนินโครงการพิลึก พิสดาร ผ่าตัดเปลี่ยนร่างใหม่ให้กับผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตทั้งร่าง ทำให้เกิดปฏิกิริยาทั้งในแง่ที่ว่า "ทำได้หรือทำไม่ได้" และ "ควรทำหรือไม่ควรทำ"

นายแพทย์คานาเวโรต้องการนำเสนอเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมศัลยแพทย์ประสาท ที่จะมีขึ้นในรัฐแมรีแลนด์ สหรัฐอเมริกา ในเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้

โดยคาดหวังว่าการนำเสนอดังกล่าวจะช่วยสร้างความเข้าใจและทำให้มีผู้สนใจจะร่วมงาน จนสามารถสร้างทีมงานเพื่อการทดลองครั้งสำคัญนี้ให้สำเร็จได้ภายใน 2 ปี

ในแง่ของข้อถกเถียงว่า ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการแพทย์ในเวลานี้ เรื่องนี้ทำได้หรือไม่นั้น นายแพทย์คานาเวโรยืนยันว่าเป็นไปได้ เพราะได้ค้นพบวิธีการเชื่อมต่อ "ไขสันหลัง" ที่เป็นอุปสรรคสำคัญมาตลอดได้แล้ว

ตามกระบวนการที่เผยแพร่ในนิตยสารนิว ไซนซ์ทิสต์ ขั้นตอนการ "เปลี่ยนหัวคน" หรือ "เปลี่ยนร่างคน" เริ่มต้นด้วยการลดอุณหภูมิของหัว "ผู้ป่วย" และ "ร่างกายบริจาค" เย็นลงจนถึงระดับที่เซลล์จะไม่ตายไประหว่างการผ่าตัด เส้นเลือดต่างๆ จะถูกเชื่อมต่อด้วย "ท่อบางพิเศษ" ส่วนการตัด "ไขสันหลัง" นั้นจำเป็นต้องดำเนินการด้วยมีดซึ่ง "คมกริบมากเป็นพิเศษ" เพื่อให้เส้นประสาทได้รับความเสียหายน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

ขั้นตอนถัดไป คานาเวโรเชื่อว่าเส้นประสาทภายในกระดูกไขสันหลัง ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมโยงคำสั่งจากสมองไปยังอวัยวะอื่นๆ ทั่วร่างกาย สามารถ "สมาน" เข้าด้วยกันได้ด้วยสารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "โพลีเอธีลีน กลีโคล" ระหว่างนั้นร่างกายและศีรษะของผู้ป่วยที่เชื่อมต่อกันใหม่ๆ ต้องไม่เคลื่อนที่โดยสิ้นเชิง จึงต้องทำให้อยู่ในสภาวะ "โคม่า" นานหลายสัปดาห์

 เมื่อผ่านขั้นตอนโคม่า คานาเวโรเชื่อว่าคนไข้ที่ตื่นขึ้นมาจะสามารถพูดและมีความรู้สึกตามใบหน้าได้

แต่การเคลื่อนไหวร่างกายใหม่อีกครั้งให้ได้นั้น นายแพทย์คานาเวโรระบุว่า จำเป็นต้องมีการทำกายภาพบำบัดอย่างถูกต้องต่อเนื่องเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี

นายแพทย์อิตาเลียนผู้นี้ยอมรับว่าอุปสรรคสำคัญจริงๆ เรื่องนี้อยู่ที่ความคิดในเชิงจริยธรรม เหตุผลประการหนึ่งก็คือ ศีรษะเดิมจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับร่างกายใหม่ เป็นปัญหาในเชิงจิตวิทยามากมายใหญ่หลวงและไม่เคยมีการศึกษาวิจัยมาก่อน และแน่นอนว่าคณะกรรมการเชิงจริยธรรมทางการแพทย์คงไม่อนุญาตให้มีการทดลองในเรื่องนี้แน่นอน

แต่นายแพทย์คานาเวโรต้องการให้เกิดการถกเถียงกันในเรื่องนี้ "ถ้าสังคมไม่ต้องการ ผมก็ไม่ทำ แต่การที่คนอเมริกันหรือในยุโรปไม่ต้องการสิ่งนี้ ไม่ใช่ว่าผู้คนจากที่อื่นๆ ทั่วโลกก็ไม่ต้องการ"

ศัลยแพทย์อิตาเลียนระบุ พร้อมกับยืนยันว่า ถ้าหากจะทำเรื่องนี้ก็ต้องทำอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

แนวความคิดเรื่อง "เปลี่ยนร่างใหม่ให้คน" ด้วยการตัดต่อศีรษะ มีผู้ดำเนินการมาแล้วหลายครั้งก่อนหน้านี้

ในปี 1970 นายแพทย์โรเบิร์ต ไวท์ กับทีมแพทย์จากมหาวิทยาลัยเคส เวสเทิร์น รีเซิร์ฟ ในเมืองคลีฟแลนด์ เคยทดลองผ่าตัดต่อหัวลิง แต่ไม่สามารถปลูกถ่ายไขสันหลังใหม่เข้ากับหัวเดิมได้ ลิงจึงขยับตัวไม่ได้

กรณีหลังสุดที่มีการเผยแพร่อย่างเป็นทางการคือ ทีมวิจัยทางการแพทย์จากมหาวิทยาลัยการแพทย์ฮาร์บิน ประเทศจีน ที่ทดลองเปลี่ยนหัวหนูทดลอง

ผู้เชี่ยวชาญหลายคน รวมทั้งศาสตราจารย์แฮร์รี โกลด์สมิธ แห่งภาควิชาศัลยกรรมประสาท มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตดาวิส ยืนยันว่า โอกาสที่โครงการนี้จะเกิดขึ้นจริงได้มีน้อยเต็มที

เราจะมาสมมุติเรื่องให้มันน่าตื่นเต้นกันอีกหน่อย  

สมมุติว่า มีนายกรัฐมนตรีหญิงแห่งประเทศสารขันธ์ มีกิ๊กเป็นหนุ่มนักกล้ามล่ำบึ้ก อึด อดทน แต่หน้าตาไม่เอาไหนเลย

วันดีคืนดี ท่านนายกรัฐมนตรีหญิงท่านนี้ ก็ไปหาหัวคนหล่อลากเลือดมาได้ 1 หัว ก็เอามาต่อหัวกิ๊กเป็นหนุ่มนักกล้ามล่ำบึ้ก อึด อดทนนั้น  ที่นี้ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ

มนุษย์ใหม่จะเป็นใคร เป็นกิ๊กหนุ่มนักกล้ามล่ำบึ้ก หรือเป็นของหัวสุดหล่อ

เรื่องนี้ ถ้าทำได้และมนุษย์หัวใหม่ฟื้นขึ้นมาได้  มันจะไม่มีปัญหาสงสัยอย่างที่เราถามกัน เพราะ เขาก็จะบอกได้ว่า เขาเป็นใคร

อย่างไรก็ดี  เราควรจะเสวนากันก่อนว่า เขาจะเป็นใคร เพื่อแสดงภูมิรู้และวิสัยทัศน์

ประเด็นนี้ พวกที่เชื่อวิทยาศาสตร์ก็ต้องบอกว่า มนุษย์ใหม่ต้องเป็นของ “หัวสุดหล่อ” เพราะ มันสมองเป็นส่วนสำคัญในระบบการคิด  ใจในทางวิทยาศาสตร์อยู่ที่สมอง

ประเด็นนี้ในทางวิชาธรรมกายชี้ว่า มนุษย์ใหม่ต้องเป็นของ “กิ๊กหนุ่มนักกล้ามล่ำบึ้ก” เพราะ เห็น-จำ-คิด-รู้ หรือใจของคนนั้น อยู่ที่ฐานที่ 7 เหนือระดับสะดือ 2 นิ้ว

อย่างไรก็ดี  ถ้ากายละเอียดของทั้ง 2 กายนั้น เป็นพวกเคร่งกับระเบียบอย่างเคร่งครัด พอกายเนื้อแตกดับ คือ หัวถูกตัดออกไปแล้ว 

ท่านก็จะออกไปจากร่างกายเพื่อไปหาที่เกิดของท่าน  ไม่สนใจว่า จะมีการผ่าตัดเอาหัวกับตัวมาต่อกันหรือไม่

คราวนี้แหละ พวกผีตายโหง ตายห่า ตายกระเทียมจะเข้าไปอยู่ในร่างกายนั้นแทน เพราะ ผีพวกนี้พยายามหาร่างกายเพื่อเป็นที่อาศัยอยู่แล้ว

แหล่งข้อมูลประกอบการเขียน
http://www.thairath.co.th/clip/13612   ฮือฮาแพทย์อิตาลีผ่าตัดเปลี่ยนหัวได้
https://www.youtube.com/watch?v=oCxIphhdA7c    ตะลึง ! "การผ่าตัดเปลี่ยนหัวคน"
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1425370661  ยันทำได้ตัดต่อ"หัวคน" เปลี่ยนร่างใหม่!?